โดยปกติแล้ว โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 3 ประเภท ก็คือ
1. อ้วนทั้งตัว เราอาจเห็นได้โดยทั่วไป โดยจะมีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
2. อ้วนลงพุง จะสังเกตได้ว่าส่วนอื่นอาจไม่มีปัญหาไขมันสะสม แต่จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย
3. อ้วนลงพุงร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมาก ทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง
2. อ้วนลงพุง จะสังเกตได้ว่าส่วนอื่นอาจไม่มีปัญหาไขมันสะสม แต่จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย
3. อ้วนลงพุงร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมาก ทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง
ปัญหาที่คุณควรระวังก็คือ อ้วนลงพุง หรือกลุ่มอาการที่เรียกว่า Metabolic Syndrome เป็นคนที่มีอาการน้ำตาลในเลือดสูง มีความผิดปกติของไขมันในเลือด ความดันโลหิต ต้องระวังเพราะมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นโลหิตในสมองแตก เบาหวาน ลองสังเกตตัวเองดูค่ะ ลักษณะของคนอ้วนลงพุง จะมีสะโพกเล็ก ไหล่กว้าง และลงพุง ถ้าลองเทียบกับคนที่อ้วนทั้งตัวในปริมาณน้ำหนักที่เท่ากัน คนอ้วนที่ลงพุงมากจะมีความเสี่ยงเกิดโรคต่างๆ ได้มากกว่าคนที่อ้วนทั้งตัวค่ะ เพราะฉะนั้น แม้จะดูผอม น้ำหนักไม่มาก แต่ถ้ามีพุง ก็ต้องระวัง Metabolic Syndrome ค่ะ
สาเหตุหลักๆ ของกลุ่มอาการนี้ ก็คือ พฤติกรรมการกินที่แย่ ไม่ชอบออกกำลังกาย เครียด ขี้กังวล อย่างไรก็ตาม จะสังเกตว่าผิดปกติหรือไม่ ให้ดูดังนี้ค่ะ ว่าหากมีความผิดปกติอย่างน้อย 3 ข้อใน 5 ข้อต่อไปนี้ ก็ควรรีบเอาใจใส่และดูแลตัวเองได้แล้วค่ะ
1. สำหรับคนไทย รอบเอวผู้ชาย ไม่ควรเกิน 36 นิ้ว และไม่เกิน 33 นิ้ว ในผู้หญิง
2. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด มากกว่า 150 มก. / ดล.
3. ระดับ เอช-ดี-แอล โคเลสเตอรอล น้อยกว่า 40 มก./ดล.ในผู้ชาย หรือ น้อยกว่า 50 มก./ดล.ในผู้หญิง
4. ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตอยู่
5. ระดับน้ำตาลขณะอดอาหารมากกว่า 110 มก./ดล.
1. สำหรับคนไทย รอบเอวผู้ชาย ไม่ควรเกิน 36 นิ้ว และไม่เกิน 33 นิ้ว ในผู้หญิง
2. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด มากกว่า 150 มก. / ดล.
3. ระดับ เอช-ดี-แอล โคเลสเตอรอล น้อยกว่า 40 มก./ดล.ในผู้ชาย หรือ น้อยกว่า 50 มก./ดล.ในผู้หญิง
4. ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตอยู่
5. ระดับน้ำตาลขณะอดอาหารมากกว่า 110 มก./ดล.
หากรู้ตัวว่าเป็น Metabolic Syndrome ควรดูแลตัวเอง ดังนี้
• การรักษาโดยการปรับพฤติกรรมการออกกำลังกาย อย่างน้อย วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
• ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยลดอาหารประเภทไขมัน และรับอาหารพวกแป้งไม่เกินร้อยละ 50 ของอาหารที่รับประทาน ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่นอาหารธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ถั่ว ลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ ใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทนน้ำมันปาล์ม งดกระทิ
• ลดน้ำหนัก ควรลดน้ำหนักลงร้อยละ 5-10 ของน้ำหนัก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน
• การรักษาโดยการปรับพฤติกรรมการออกกำลังกาย อย่างน้อย วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
• ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยลดอาหารประเภทไขมัน และรับอาหารพวกแป้งไม่เกินร้อยละ 50 ของอาหารที่รับประทาน ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่นอาหารธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ถั่ว ลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ ใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทนน้ำมันปาล์ม งดกระทิ
• ลดน้ำหนัก ควรลดน้ำหนักลงร้อยละ 5-10 ของน้ำหนัก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น